การพัฒนาหลักสูตร
หลักสูตร
ถือเป็นหัวใจของการจัดการศึกษา
เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดแนวทางการจัดการศึกษา
เพื่อที่จะพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะพื้นฐานในการดำรงชีวิต
สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและสังคมได้
การจัดการศึกษาที่ดีจึงควรมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพชีวิตและสังคมของผู้เรียน
หลักสูตรจึงจำเป็นต้องปรับปรุงหรือพัฒนาให้มีความเหมาะสม
ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจและสังคมอยู่เสมอ
ความหมายของการพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรเป็นกระบวนการวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทุกประเภท
เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามความมุ่งหมายและจุดประสงค์ที่กำหนดไว้
และเป็นการวางแผนการประเมินผลให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้เรียน
ว่าได้บรรลุตามความมุ่งหมายและจุดประสงค์จริงหรือไม่
เพื่อผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบจะได้รู้และคิดเพื่อแก้ไขปรับปรุงต่อไป ดังนั้น หลักสูตรที่ดีและเหมาะสมจะต้องมีการพัฒนาอยู่เสมอเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา
สภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
และการปกครองของประเทศตลอดจนความก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยีต่าง ๆ
ในอดีตนักพัฒนาหลักสูตรจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเป้าหมาย
เนื้อหาและวิธีการสอนของหลักสูตรโดยไม่ค่อยสนใจหรือคำนึงผู้เรียนว่าจะมีความรู้สึกหรือมีผลกระทบอย่างไร
ปกตินักพัฒนาหลักการสูตรจะกำหนดจะกำหนดจุดมุ่งหมายให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เรียนเป็นสำคัญ
และเนื้อหาสาระตลอดทั้งกระบวนการเรียนการสอนก็จะต้องเป็นเรื่องของครูที่จะต้องคิดมาหา
ครูมักจะหาเนื้อเรื่องและวิธีการเรียนการสอนโดยคำนึงว่าผู้เรียนคิดอย่างไร
มีความรู้สึกอย่างไร และมีความต้องการอย่างไร แต่ในปัจจุบันแนวคิดนี้ได้เปลี่ยนไป
จึงเป็นหน้าที่ของนักพัฒนาหลักสูตรที่จะต้องหาแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรให้มีความถูกต้อง
ชัดเจนและเป็นประโยชน์กับผู้เรียนมากที่สุด
ทั้งนี้ได้มีผู้กล่าวถึงความหมายของการพัฒนาหลักสูตร
สันต์ ธรรมบำรุง (2527 : 92) ได้กล่าวถึงความหมายของการพัฒนาหลักสูตรไว้ว่าการพัฒนาหลักสูตร
(curriculum development) จะมีความหมายครอบคลุมถึงการสร้างหลักสูตรการวางแผนหลักสูตรการปรับปรุงหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรซึ่งเป็นการปรับปรุงคุณภาพของหลักสูตรให้ดีขึ้นทั้งระบบ
ตั้งแต่จุดมุ่งหมาย การเรียนการสอน การใช้สื่อการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล
บุญมี เณรยอด (2531 : 18) กล่าวว่าการพัฒนาหลักสูตร
หมายถึง การปรับปรุงโครงการที่ประมวลความรู้และประสบการณ์ทั้งหลาย
เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้ดีขึ้นให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพสังคมและเพื่อบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้
สงัด อุทรานันท์ (2532 : 30) กล่าวคำว่า
“การพัฒนา” หรือ คำในภาษาอังกฤษว่า “development” มีความหมายที่เด่นชัดอยู่ 2 ลักษณะ คือ ลักษณะแรก หมายถึง การทำให้ดีขึ้น
หรือ ทำให้สมบูรณ์ขึ้น และอีกลักษณะหนึ่ง หมายถึง ทำให้เกิดขึ้น โดยเหตุนี้
ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรจึงอาจมีความหมายได้ 2 ลักษณะเช่นเดียวกัน คือ
ความหมายแรก หมายถึง การทำหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นหรือสมบูรณ์ขึ้น
และอีกความหมายหนึ่งก็ คือ เป็นการสร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่
โดยไม่มีหลักสูตรเดิมเป็นพื้นฐานอยู่เลย
ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2537 : 25) ได้เสนอแนวคิดการพัฒนาหลักสูตร
อย่างเป็นระบบซึ่งมีขึ้นตอนสำคัญสรุปได้ดังนี้
ขั้นที่ 1
การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน เพื่อวินิจฉัยปัญหาและความต้องการ ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจ
ขั้นที่ 2 การกำหนดเป้าประสงค์
จุดหมายและจุดประสงค์ หลังจากได้วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานแล้ว
จะพิจารณาและกำหนดความมุ่งหมายของการศึกษา
ขั้นที่ 3
การเลือกและการจัดเนื้อหา
จะต้องมีความถูกต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ในหลักสูตร มีความสอดคล้องกับความต้องการ
ความสนใจของผู้เรียน มีความยากง่ายสอดคล้องเหมาะสมกับวัย
เนื้อหาต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน
และเนื้อหานั้นเป็นสิ่งที่สามารถจัดให้ผู้เรียนได้ ในแง่ของความพร้อมด้านเวลา
ผู้สอน และวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ
ขั้นที่ 4
การเลือกและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ
ต้องสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้เร็ว รวมไปถึงยุทธวิธีการสอน
การเลือกใช้สื่อการสอนให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้
และการจัดสภาพแวดล้อมของโรงเรียนต้องเอื้อต่อการเรียนรู้
และกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน
ขั้นที่
5
การกำหนดอัตราเวลาเรียน หลักเกณฑ์ในการวัดประเมินผลการเรียน กำหนดเวลาเรียนการสอน
โดยจัดเนื้อหาวิชาตามลำดับก่อนหลังให้สัมพันธ์กับจำนวนชั่วโมงต่อสัปดาห์ส่วนการวัดผลประเมินผล
ควรกำหนดวิธีการเกณฑ์การจบหลักสูตร
ขั้นที่
6 การนำหลักสูตรไปใช้
หลังจากล่างหลักสูตรแล้วต้องมีการตรวจสอบข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม
ขั้นที่
7 การประเมินผลหลักสูตร
เมื่อใช้หลักสูตรไปได้สักระยะหนึ่ง
ควรมีการประเมินผลหลักสูตรในด้านต่างๆว่ามีข้อบกพร่องที่ควรแก้ไขปรับปรุงหรือเพิ่มเติมอะไรบ้าง
ขั้นที่
8 การปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร
หลังจากที่ทราบข้อบกพร่องของหลักสูตร
อาจจะต้องมีการศึกษาปัญหาเพื่อปรับปรุงข้อบกพร่องให้หลักสูตรเหมาะสมยิ่งขึ้น
หัทยา
เจียมศักดิ์ (2539
: 12)
ให้ความหมายว่า การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง
กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนพัฒนาหรือคิดประสบการณ์เรียนรู้ต่าง ๆ
เพื่อให้เกิดความเหมาะสมหรือดียิ่งขึ้น
สวัสดิ์
จงกล (2539
: 19)
ได้ให้ความหมายว่าการพัฒนาหลักสูตร คือ
การเกี่ยวข้องกับการวางแผนพัฒนาหรือคิดประสบการณ์เรียนรู้ต่าง ๆ
เพื่อให้เกิดความเหมาะสมหรือดียิ่งขึ้น
จากการที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า
การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง การปรับ แต่ง เสริม เติมต่อ หรือการดำเนินงานอื่น ๆ
เพื่อให้ได้มาซึ่งความเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและสนองต่อความต้องการของผู้เรียน
พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตร
เป็นกระบวนการที่สลับซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับคนส่วนมากจึงต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบด้วยการศึกษาข้อมูล
และความจำเป็นพื้นฐานของการพัฒนาหลักสูตรในหลาย ๆด้าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้เรียน(หมายถึง
สภาพของบ้าน ครอบครัวชุมชน) เกี่ยวข้องกับสังคมและเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้
ข้อมูลและความจำเป็นเหล่านี้ จะเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
การเลือกเนื้อหาวิชา และประสบการณ์การเรียนรู้
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีพัฒนาการตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรพื้นฐาน
กาญจนา
คุณารักษ์ (2527
: 82)
ได้แยกรายละเอียดไว้ 6 ประการ คือ 1)
การเปลี่ยนแปลง
ของสังคม 2) การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ
3) การเมืองและการปกครอง 4) แนวความคิดและผลการศึกษาค้นคว้าทางด้านจิตวิทยา
5) ความก้าวหน้าทางวิทยาการเทคโนโลยีและ 6) บาบาทของสถานบันศึกษาและสื่อมวลชน นอกจากนี้ มิเชลลิส กรอสแมน และสก๊อต
(Michealis, Grossman and Scott. 1975 : 175) ยังได้เสนอแนวคิดหลักสำคัญ
5 ประการ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรดังต่อไปนี้ 1)
พื้นฐานทางประวัติศาสตร์
ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการศึกษาปัญหาข้อถกเถียงและการปฏิบัติตลอดจนความสำเร็จและความล้มเหลวของหลักสูตรเดิม
2)พื้นฐานทางด้านปรัชญาซึ่งจะช่วยในการพัฒนาเค้าโครงของค่านิยมและความเชื่อที่สัมพันธ์กับการกำหนดความมุ่งหมาย
การเลือกและการใช้ความรู้ ความหมายและวิธีการดำเนินการและมิติอื่น ๆ ของการศึกษา 3) พื้นฐานทางสังคมซึ่งจะเป็นแหล่งข้อมูลค่านิยม การเปลี่ยนแปลง ปัญหา
ความกดดันและแรงขับทางสังคมที่จะนำมาพิจารณาในการวางแผนหลักสูตร 4)พื้นฐานจิตวิทยา
ซึ่งประกอบด้วยความคิดเกี่ยวกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กตลอดจนการเรียนรู้ของเด็ก
ๆ 5) พื้นฐานเกี่ยวกับสาขาวิชา
ซึ่งจะเปรียบเสมือนแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวกับมโนมติ ข้อมูลต่าง ๆ
แบบอย่างวิธีการและกระบวนการค้นคว้าอื่น ๆ ที่อาจจะใช้ในการพัฒนาหลักสูตรและการวางแผนการเรียนการสอน
ซึ่ง บิชอบ (Bishop . 1985 : 88) มีความเห็นสอดคล้องกันว่าพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรนั้นมีอยู่ด้วยกัน
5 ด้าน แต่บิชอบไม่ได้เรียกว่าเป็นพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร เขาใช้คำว่า “ตัวกำหนดหลัก” ซึ่งจัดเป็นตัวแปรที่ส่งผลต่อการพัฒนาหลักสูตรประกอบด้วย
1) ปรัชญา ซึ่งหมายรวมถึงจุดมุ่งหมายของการศึกษา
ความนึกคิดทางลัทธิต่าง ๆ และอื่น ๆ 2) การเงินรวมถึงทรัพยากรบุคคลและวัสดุอุปกรณ์ต่าง
ๆ 3) สังคมและวัฒนธรรมซึ่งรวมถึงภาษาด้วย 4) ความรู้ ซึ่งรวมถึงเนื้อหาวิชา มโนทัศน์ และกระบวนการทางสมอง และ 5)
จิตวิทยาซึ่งประกอบด้วย ทฤษฎีการเรียนรู้วิธีสอนและอื่น ๆ
ดังแผนภาพต่อไปนี้
จากแนวคิดด้านพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร
พอสรุปได้ว่า พื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรนั้น ประกอบด้วย 6 ด้าน ได้แก่ 1)
พื้นฐานทางด้านปรัชญา 2)
พื้นฐานทางด้านจิตวิทยา 3)
พื้นฐานทางด้านประวัติศาสตร์ 4)
พื้นฐานทางด้านสังคมวิทยาซึ่งรวมถึงด้านด้านวัฒนธรรมและภาษา การเมืองการปกครอง
เศรษฐกิจ 5)
พื้นฐานทางด้านสาขาวิชาที่ต้องการจะพัฒนาหลักสูตรและ 6) ความก้าวหน้าวิทยาการ เทคโนโลยี
บทบาทของสถาบันการศึกษาและสื่อมวลชน ซึ่งจัดเป็นตัวกำหนดที่สำคัญในการพัฒนาหลักสูตร
การจัดการเรียนการสอนให้มีความสอดคล้องและทันสมัยตอบรับต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงต่างๆ
เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความรอบรู้
สามารถเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพและสอดคล้องตอบรับต่อความต้องการของสังคมในปัจจุบัน
ระดับการพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรมีหลายระดับ
ตั้งแต่ระดับชาติจนถึงระดับชั้นเรียน
ซึ่งมีนักศึกษาหลายคนได้กล่าวถึงระดับการพัฒนาหลักสูตรไว้ดังนี้
สุมิตร คุณานุกร (2532 : 11) ได้กล่าว
การพัฒนาหลักสูตรมิได้มีขอบเขตจำกัดอยู่เฉพาะในระดับกระทรวงศึกษาธิการ
หรือที่เรียกกันว่าระดับชาติเท่านั้น แต่กระจายต่อไปในระดับต่าง ๆ ได้ถึง 4 ระดับ ดังนี้
1. การพัฒนาหลักสูตรระดับชาติ
ควรพัฒนาหลักสูตรให้มีลักษณะที่เอื้ออำนวยต่อการนำไปขยายหรือปรับให้มากที่สุด
เพื่อให้ผู้ใช้ในระดับต่าง ๆ
ที่รองลงไปนำไปขยายและปรับให้เหมาะสมกับสภาพของท้องถิ่นโรงเรียนและชั้นเรียนต่อไป
2. การพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่น
คำว่าท้องถิ่นในระดับนี้ หมายถึง เขตการศึกษา(เขตพื้นที่การศึกษา :
ผู้เรียน) ซึ่งจะทำการขยายหรือปรับหลักสูตรระดับชาติให้สอดคล้องกับสภาพทางสังคม
ภูมิศาสตร์และความต้องการของประชาชนในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา
3. การพัฒนาหลักสูตรในระดับโรงเรียน
เป็นการพัฒนาหลักสูตรโดยทางโรงเรียนทำหน้าที่ขยายและปรับประมวลการสอน
จากการพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่นอีกครั้ง
เพื่อให้ละเอียดยิ่งขึ้นจนกระทั่งสามารถแยกแยะรายละเอียดของเนื้อหาวิชาที่จะสอนออกมาเป็นเวลาได้
4. การพัฒนาหลักสูตรในระดับชั้นเรียน
เป็นการพัฒนาหลักสูตรที่เน้นการตอบสนองความต้องการและความสนใจของผู้เรียน
โดยการปรับความมุ่งหมายในการสอน
เนื้อหากิจกรรมการเรียนรู้และการสอนให้สอคล้องกับสติปัญญาและความสนใจของผู้เรียน
วิชัย วงษ์ใหญ่ (2537 : 67) ได้แบ่งระดับการพัฒนาหลักสูตรของไทยเป็น
3 ระดับ คือ
1. การพัฒนาหลักสูตรระดับชาติ
เป็นการพัฒนาหลักสูตรที่มีหลักการจะต้องกระทำในระดับกว้างๆ
เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม
2. การพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่น
ท้องถิ่นในที่นี้ หมายถึง ระดับภาค ระดับจังหวัด และระดับ กลุ่มโรงเรียน
เป็นการนำหลักสูตรระดับชาติมาปรับเปลี่ยนเนื้อหาสาระให้มีความสอดคล้องกับท้องถิ่นนั้น
3. การพัฒนาหลักสูตรระดับห้องเรียน
เป็นการพัฒนาหลักสูตรโดยครูผู้สอน
มณฑิชา ชนะสิทธิ์ (2539 : 19) ได้กล่าวว่าการพัฒนาหลักสูตรแบ่งได้เป็น 4 ระดับ คือ
4. การพัฒนาหลักสูตรระดับชาติ
เป็นการจัดทำหลักสูตรแบ่งบทในลักษณะกว้าง ๆ
เพื่อให้หน่วยงานระดับล่างนำไปปรับใช้ได้
5. การพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่น
เป็นการพัฒนาหลักสูตรโดยเขตการศึกษา นำหลักสูตรระดับชาติมาปรับ
หรือขยายให้มีความสอดคล้องกับสภาพท้องถิ่นในเขตการศึกษานั้น
6. การพัฒนาหลักสูตรระดับโรงเรียน เป็นการพัฒนาหลักสูตรโดยการนำหลักสูตรระดับชาติระดับท้องถิ่นมาปรับหรือขยายให้มีความสอดคล้องกับสภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียน
7. การพัฒนาหลักสูตรระดับห้องเรียน
เป็นการพัฒนาหลักสูตรโดยการนำหลักสูตรระดับโรงเรียนมาปรับหรือขยายให้มีความละเอียด
เหมาะสมกับหลักสูตรท้องถิ่น
นีล (Neil. 1981 :
55-58)
เห็นว่าการนำหลักสูตรไปใช้เป็นการแปลงหลักสูตรไปสู่การเรียนการสอน
โดยมุ่งให้ผู้ปฏิบัติดำเนินการได้ถูกต้องเกิดผลตรงความมุ่งหมายของหลักสูตร
กระบวนการแปลงหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติหรือการจัดการเรียนการสอน แบ่งได้ 5 ระดับ ในแต่ละระดับอาจเกิดความผิดพลาดได้ดังนี้
1.
หลักสูตรระดับอุดมการณ์ (ideal curriculum) เป็นแนวความคิดของผู้ร่างหลักสูตรที่ต้องการบอกลักษณะของผู้เรียนที่ต้องการ
หลักการและแนวคิดพื้นฐานของหลักสูตร
สำหรับเป็นกรอบท่จะถ่ายทอดไปสู่หลักสูตรที่จะจัดทำ
2.
หลักสูตรระดับทางการ (formalcurriculum) เป็นหลักสูตรที่เขียนเป็นเอกสารโดยการนำแนวคิดของหลักสูตรระดับอุดมการณ์มาสังเคราะห์ให้เป็นแนวปฏิบัติ
ความคลาดเคลื่อนที่จะเกิดขึ้นก็คืออาจสะท้อนแนวคิดในอุดมการณ์ได้ไม่หมด
3.
หลักสูตรระดับการรับรู้ (perceived curriculum) เป็นหลักสูตรตามความเข้าใจของผู้ใช้แต่ละคนหลังจากได้รับรู้หลักสูตรระดับทางการ
ความคลาดเคลื่อนที่จะเกิดก็คือ ผู้ใช้อาจเข้าใจหลักสูตรไม่ตรงกับเอกสารหลักสูตร
หรือแต่ละคนเข้าใจหลักสูตรไม่ตรงกัน
เพราะแต่ละคนจะเข้าใจหลักสูตรตามการรับรู้และพื้นฐานความรู้ของตนเอง
4.
หลักสูตรระดับปฏิบัติการ (Operational curriculum) เป็นการนำหลักสูตรไปใช้ในห้องเรียนซึ่งครูแต่ละคนมีความเข้าใจหลักสูตรอย่างใดก็จะนำหลักสูตรไปใช้ในห้องเรียนตามสถานการณ์จริงความคลาดเคลื่อนจะเกิดจาการที่สถานการณ์จริงแตกต่างจากที่คาดหวัง
และสถานการณ์ของแต่ละแห่งแตกต่างกัน
5.
หลักสูตรระดับประสบการณ์ (experiential curriculum) เป็นระดับของหลักสูตรท่จะเกิดกับตัวผู้เรียน
ความผิดพลาดที่จะเกิด คือ การเรียนที่ไม่ตรงตามความมุ่งหมาย
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แตกต่าง ทั้งนี้
เป็นเพราะผู้เรียนมีความสามารถในการรับรู้และประสบการณ์ต่างกัน
โซเวลล์ (Sowell. 1996 :
6)
ได้แบ่งหลักสูตรออกเป็น 4 ระดับ คือ
1. หลักสูตรระดับสังคม
(The society curriculum) เป็นหลักสูตรที่อยู่ไกลตัวผู้เรียน
และถูกสร้างโดยรัฐ นักการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ ผู้บริหารระดับต่าง ๆ
และผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชา
2. หลักสูตรระดับสถาบัน
(The institutional curriculum) เป็นหลักสูตรที่ใช้ในสถานศึกษาและได้รับมาจากหลักสูตรสูตรระดับสังคม
ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมโดยนักการศึกษาและคณะทำงานในระดับท้องถิ่น
3. หลักสูตรระดับการเรียนการสอน
(The instructional curriculum) เป็นหลักสูตรที่วางแผนโดยครูและถูกกำหนดขึ้นเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอน
4. หลักระดับประสบการณ์
(The experience curriculum) เป็นหลักสูตรที่ยอมรับและถูกจัดขึ้นโดยตัวผู้เรียนเอง
ทั้งนี้เพราะว่าผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างระหว่างบุคคล ดังนั้น
หลักสูตรจึงต้องสอดคล้องกับผู้เรียนแต่ละคน
จากที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า การพัฒนาหลักสูตรระดับชาติ
เป็นการพัฒนาหลักสูตรในลักษณะกว้าง ๆ โดยยึดถือแผนการศึกษาของชาติ
เพื่อให้ผู้ใช้ในระดับต่าง ๆนำไปขยายหรือปรับเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตร
สำหรับการพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่น หมายถึง เขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียน
เป็นผู้นำมาตรฐานของหลักสูตรระดับชาติมาจัดเนื้อหาสาระการเรียนรู้ให้มีความสอดคล้องกับท้องถิ่น
ทั้งนี้หลักสูตรท้องถิ่นในระดับชั้นเรียน
จะเป็นการจัดสาระการเรียนรู้ของท้องถิ่นที่เน้นความต้องการ ความถนัด
ความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก
แนวคิดการพัฒนาหลักสูตร
จากการที่เน้นศึกษาหลายท่านได้อธิบายความหมายของการพัฒนาหลักสูตร (Curriculum
development) ไว้คล้ายคลึงกัน ซึ่งสรุปได้ว่า
การพัฒนาหลักสูตรมีความหมาย 2 ลักษณะ คือ ประเภทแรก
เป็นการทำหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น และประการที่สองเป็นการจัดทำหลักสูตรขึ้นมาใหม่
โดยไม่มีหลักสูตรเดิมอยู่ก่อน รวมไปถึงการผลิตเอกสารต่าง ๆ สำหรับผู้เรียนด้วย (Saylor
and Alexander. 1974 : 7 ; Sowell. 1996 : 16 ; อ้างใน สงัด
อุทรานันท์. 2532 : 31)
การพัฒนาหลักสูตร
มีความหมายที่กว้างขวางครอบคลุมงานหลายมิติของการพัฒนาหลักสูตรตั้งแต่
การวางแผนหลักสูตร จัดทำหลักสูตรหรือยกร่างหลักสูตร (Curriculum
planning) การนำหลักสูตรไปใช้หรือการนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติ (Curriculum
implementation) และการประเมินหลักสูตร (Curriculum
evaluation) การสร้างหรือพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพนั้น ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละมิติมีประสิทธิผลมากน้อยเพียงใด
การวางแผนจัดทำหรือยกร่างหลักสูตร ประกอบด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน
การกำหนดจุดมุ่งหมาย
การกำหนดเนื้อหาสาระและประสบการณ์การเรียนรู้การกำหนดการวัดประเมินผล
การนำหลักสูตรไปใช้
ประกอบด้วยการจัดวัสดุหลักสูตรต่าง ๆ
ที่ช่วยให้ผู้ใช้หลักสูตรสามารถใช้หลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การผลิตและการใช้สื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ การเตรียมบุคลากร
การบริหารหลักสูตรและการดำเนินการสอนหลักสูตร
การประเมินหลักสูตร ประกอบด้วย
การประเมินเอกสารหลักสูตร การประเมินการใช้หลักสูตร การประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร
และการประเมินหลักสูตรทั้งระบบ
ไทเลอร์ (Tyler. 1949 :
99)
ได้ให้แนวคิดในการวางโครงร่างหลักสูตร โดยใช้วิธี Means-Ends
Approach เป็นหลักการและเหตุผลในการสร้างหลักสูตรที่เรียนว่า “หลักการของไทเลอร์” (Tyler’s rationale) ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการจัดหลักสูตรและการสอนที่เน้นการตอบคำถามที่เป็นพื้นฐาน
4 ประการ
1.มีจุดมุ่งหมายทางการศึกษาอะไรบ้าง
ที่สถาบันการศึกษาจะต้องกำหนดให้ผู้เรียน
2.มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้าง
ที่สถาบันการศึกษาควรจัดขึ้นเพื่อช่วยให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
3.จะจัดประการณ์ทางการศึกษาอย่างไร
จึงจะทำให้การสอนมีประสิทธิภาพ
4. จะประเมินผลประสิทธิภาพของประสบการณ์ในการศึกษาอย่างไร
จึงจะตัดสินได้ว่าบรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
ไทเลอร์ เน้นว่าคำถามทั้ง 4
ข้อนี้ต้องเรียงลำดับกันลงมา เพราะฉะนั้นการกำหนดจุดมุ่งหมายจึงเป็นขั้นที่สำคัญที่สุด
เพราะคำตอบอีก 3
ข้อที่เหลืออยู่นั้นขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ (ชมพันธ์
กุญชร ณ อยุธยา. 2540 : 8)
แนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์ เป็นไปตามลำดับขั้น โดยอาศัยข้อมูลจากแหล่งกำเนิดที่จะเป็นพื้นฐานในการตัดใจ
3 แหล่งด้วยกัน คือ
1. ศึกษาจากสังคม
2. ศึกษาจากผู้เรียน
3. ข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญในเนื้อหาวิชา
ทาบา (Taba. 1962 :
12) ได้เสนอแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรที่เรียกว่า “Grass
roots approach” หรือวิธีการจากเบื้องล่างสู่เบื้องบน
ซึ่งทาบาเชื่อว่าผู้ที่มีหน้าที่สอนในหลักสูตรควรได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรด้วย
วิธีการพัฒนาหลักสูตรของทาบานี้มีขั้นตอนคล้ายคลึงกับไทเลอร์แต่ต่างกันตรงที่วิธีการที่ ไทเลอร์เสนอนั้นค่อนข้างเป็นวิธีการแบบ “Top-down”
คือ การพัฒนาหลักสูตรที่มาจากข้อเสนอแนะของนักวิชาการ
ให้ครูปฏิบัติและผู้บริหารสั่งการมายังครูผู้สอนอีกทีหนึ่ง
สำหรับขั้นตอนในการพัฒนาหลักสูตรของทาบา มีดังนี้
ขั้นที่ 1
การสำรวจความต้องการ (diagnosis
of needs) ครูหรือผู้ร่างหลักสูตรเริ่มกระบวนการ
ด้วยการสำรวจความต้องการของนักเรียนที่หลักสูตรได้วางแผนไว้
ขั้นที่ 2
การกำหนดจุดมุ่งหมาย (formulation
of objectives) หลังจากที่ครูได้ระบุความต้องการของนักเรียนแล้ว
ครูกำหนดจุดมุ่งหมายที่จะให้บรรลุผล
ขั้นที่ 3
การเลือกเนื้อหา (Selection
of contents) จุดมุ่งหมายที่เลือกไว้หรือที่สร้างขึ้นเป็นตัวชี้แนะแนวทางในการเลือกรายวิชาหรือเนื้อหาของหลักสูตร
ซึ่งควรเลือกเนื้อหาที่มีความเที่ยงตรงและสำคัญด้วย
ขั้นที่ 4
การจัดเนื้อหา (Organization
of contents) เมื่อครูเลือกเนื้อหาได้แล้ว
ต้องจัดเนื้อหาโดยเรียงลำดับขั้นตอนให้ถูกต้อง คำนึงถึงวุฒิภาวะของนักเรียน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสนใจของผู้เรียนด้วย
ขั้นที่ 5
การเลือกประสบการณ์การเรียน (Selection of learning experiences) เมื่อได้เนื้อหาแล้วครูคัดเลือกวิธีการสอนที่เหมาะสมกับเนื้อหาและผู้เรียน
ขั้นที่ 6
การจัดประสบการณ์เรียน (organization
of learning experiences) กิจกรรมการเรียนการสอนควรได้รับการจัดเรียงลำดับขั้นตอนเช่นเดียวกับเนื้อหา
แต่ครูต้องจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เหมาะกับผู้เรียนด้วย
ขั้นที่ 7
การประเมินผลและวิธีการประเมินผล (evaluation and means of evaluation) ผู้ที่วางแผนหลักสูตรต้องประเมินว่าจุดมุ่งหมายใดบรรลุผลสำเร็จและทั้งครูและนักเรียนควรร่วมกันกำหนดวิธีการประเมินผล
เซเลอร์ อเล็กซานเดอร์ และเลวิส(Saylor,
Alexander and Lewis. 1981 : 28-39) ได้เสนอแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตร
ซึ่งเขามีแนวคิดว่าหลักสูตรเป็นแผนการในการจัดโอกาสการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
ดังนั้น หลักสูตรจึงต้องมีการกำหนดไว้อย่างเป็นระบบ ดังนี้
1. เป้าหมาย
จุดมุ่งหมายและขอบเขต (Goals,
objectives and domains) การพัฒนาหลักสูตรควรกำหนดเป้าหมาย
และจุดมุ่งหมายหลักสูตรเป็นสิ่งแรก เป้าหมายแต่ละประเด็น จะบ่งบอกถึงขอบเขตหนึ่ง ๆ
ของหลักสูตร ซึ่งเซเลอร์ อเล็กซานเดอร์และเลวิสได้เสนอไว้ว่ามี 4 ขอบเขตที่สำคัญ คือ พัฒนาการส่วนบุคคล (personal development) สมรรถภาพทางสังคม (Social competence) ทักษะการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
(continued learning skills) และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (specialization)
นอกจากนี้ยังมีขอบเขตอื่นๆ อีก
ซึ่งนักพัฒนาหลักสูตรอาจจะพิจารณาตามความเหมาะสมกับผู้เรียนและลักษณะทางสังคม
เป้าหมาย จุดมุ่งหมาย และขอบเขตต่าง ๆ
ของหลักสูตรจะได้รับข้อบังคับทางกฎหมายของรัฐ ข้อค้นพบจากงานวิจัยต่าง ๆ
ปรัชญาของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางด้านหลักสูตร เป็นต้น
2. การออกแบบหลักสูตร (Curriculum design) เมื่อกำหนดเป้าหมายและจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแล้ว
นักพัฒนาหลักสูตรต้องวางแผนออกแบบหลักสูตร
ตัดสินใจเกี่ยวกับการเลือกและจัดเนื้อหาสาระ
การเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับเนื้อหาสาระที่ได้เลือกแล้ว
3. การใช้หลักสูตร (Curriculum
implemmentation) หลังจากตัดสินใจเลือกรูปแบบหลักสูตรแล้วขั้นตอนต่อไป
คือการนำหลักสูตรไปใช้ โดยครูผู้สอนต้องวางแผนและจัดทำแผนการสอนตามรูปแบบ ต่าง ๆครูผู้สอนเลือกวิธีการสอน สื่อ
วัสดุการเรียนการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามที่กำหนดไว้
4. การประเมินหลักสูตร (Curriculum evaluation) การประเมินหลักสูตร
เป็นขั้นตอนสุดท้ายของรูปแบบนี้
นักพัฒนาหลักสูตรและครูผู้สอนต้องเลือกวิธีการประเมินเพื่อตรวจสอบความสำเร็จของหลักสูตร
ซึ่งเป็นทั้งการประเมินระหว่างดำเนินการ (formative evaluation) และการประเมินผลรวม (Summary evaluation) ทั้งนี้
เพื่อนำผลการประเมิน ไปปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรต่อไป
โอลิวา (Oliva. 1992 :
171-175)
ได้แนวคิดในการพัฒนาหลักสูตร โดยขยายความคิดของตนเอง
จากที่ได้เสนอรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรไว้เมื่อปี ค.ศ. 1976
ไว้แล้ว กระบวนการพัฒนาหลักสูตรของ
โอลิวา ได้เสนอองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้
1. กำหนดเป้าหมายของการจัดการศึกษา
ปรัชญาและหลักจิตวิทยาการศึกษา
ซึ่งเป้าหมายนี้เป็นความเชื่อที่ได้มาจากต้องการของสังคมและผู้เรียน
2. วิเคราะห์ความต้องการของชุมชน
ผู้เรียน และเนื้อหาวิชา
3. กำหนดจุดหมายของหลักสูตร
4. กำหนดวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
5. จัดโครงสร้างของหลักสูตรและนำหลักสูตรไปใช้
6. กำหนดจุดหมายของการเรียนการสอน
7.
กำหนดจุดประสงค์การเรียนการสอน
8.
เลือกยุทธวิธีการจัดการเรียนการสอน
9.
เลือกวิธีการประเมินผลก่อนเรียนและหลังเรียน
10. นำยุทธวิธีการจัดการเรียนการสอนไปใช้
11. ประเมินผลการจัดการเรียนการสอนไปใช้
12. ประเมินผลหลักสูตร
จากที่กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่า
แนวคิดของนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรนั้นเห็นว่าเป็นกระบวนการทำงานที่เป็นระบบ
เป็นวงจร เชื่อมโยง
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรเป็นการกำหนดลักษณะ
ระเบียบ วิธีการที่จะนำไปสู่การพัฒนาหลักสูตรให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ในขณะนั้นโดยมีนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรได้ดังนี้
ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539 : 7) ได้อธิบายว่า
การพัฒนาหลักสูตรประกอบด้วยสามมิติ(dimensions) คือ
มิติที่หนึ่ง การวางแผนจัดทำหรือยกร่างหลักสูตร (curriculum planning) มิติที่สองการใช้หลักสูตร (curriculum implementation)
และมิติสุดท้ายการประเมินผลหลักสูตร (curriculum evaluation)
การพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพได้นั้น
ย่อมขึ้นอยู่กับว่าแต่ละมิติมีประสิทธิผลมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ยังมีผู้รู้หรือนักการศึกษาหลาย
ๆ ท่านได้กล่าวถึงรูปแบบของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรไว้ต่างกัน
นิคม ชมพูหลง (2545 : 53) ได้สรุปแนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่นไว้
6 ขั้นตอนดังนี้
1. การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน
ได้แก่ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติที่มนุษย์สร้างขึ้นทรัพยากรมนุษย์
สภาพความต้องการของท้องถิ่น สภาพจัดการศึกษา และสภาพความต้องการของนักเรียน
ผู้ปกครอง และประชาชน
2. การสร้างหลักสูตรฉบับร่าง ได้แก่ คำชี้แจง
เหตุผลความจำเป็นในการพัฒนาหลักสูตรหลักของหลักสูตร โครงสร้างเนื้อหา
อัตราเวลาเรียน แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอน
การวัดประเมินผล คำอธิบายรายวิชา ตารางวิเคราะห์หลักสูตร จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
รายละเอียดของเนื้อหาของแต่ละหน่วยโดยละเอียด พร้อมภาพประกอบทุกขั้นตอน
และบรรณานุกรมซึ่งจะต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องที่จะพัฒนาอย่างจริงจัง
แล้วจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม
3. การตรวจสอบหลักสูตรฉบับร่าง
เป็นการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรและวัสดุหลักสูตร ต่าง ๆ
เพื่อนำผลมาปรับปรุงข้อบกพร่องก่อนนำหลักสูตรไปทดลองใช้ โดยจะต้องมีการกำหนดเป็นแผนอย่างมีขั้นตอนและเป็นระบบ
มีการประชุมพิจารณาร่วมกันหรือให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบว่าองค์ประกอบต่าง ๆ
ของหลักสูตร เช่น จุดประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน
คาบเวลาเรียนวิธีการวัดและประเมินผล มีความสอดคล้องกันหรือไม่ อย่างไร
4. การนำหลักสูตรไปทดลองใช้ มีการขออนุมัติหลักสูตร
จัดทำตารางแผนการใช้หลักสูตรประชาสัมพันธ์หลักสูตร เตรียมความพร้อมของบุคลากร
งบประมาณ วัสดุหลักสูตร โดยการใช้หลักสูตร อาจเป็นการสอนเองหรือให้คนอื่นสอนแทน
และจะต้องมีการจัดทำคู่มือการใช้หลักสูตรโดยระบุขั้นตอนต่าง ๆ อย่างละเอียด
5. การประเมินผลการนำหลักสูตรไปทดลองใช้
มีการวางแผนการประเมิน ประเมินย่อยประเมินรวบยอด ประเมินการสอนของผู้สอน
ประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
6. การปรับปรุงแก้ไข
เพื่อปรับแก้หลักสูตร ได้แก่ แผนการสอน
สื่อและเครื่องมือวัดผลประเมินผลให้สมบูรณ์และมีคุณภาพ
ไทเลอร์ (Tyler. 1950 :
78)
ได้กำหนดปัญหาพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรและการสอน 4 ข้อ
ซึ่งมีพัฒนาหลักสูตรจะต้องตอบคำถามให้ครบเรียงลำดับข้อ 1 ถึงข้อ 4 ดังนี้
1. จุดมุ่งหมายทางการศึกษาที่โรงเรียนต้องการให้ผู้เรียนบรรลุมีอะไรบ้าง
2. การที่จะบรรลุตามจุดหมายทางการศึกษาที่กำหนดนั้น
จะต้องมีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้าง
3. ประสบการณ์ทางการศึกษาที่กำหนดนั้น
สามารถจัดให้ประสิทธิภาพได้อย่างไร
4. จะทราบได้อย่างไรว่า
ผู้เรียนได้บรรลุตามจุดมุ่งหมายทางศึกษานั้น ๆ
ทาบา (Taba. 1962 :
67)
ได้เสนอแนะขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตร ดังนี้
1. สำรวจสภาพปัญหา
ความต้องการและความจำเป็นต่าง ๆ ของสังคม
2. กำหนดวัตถุประสงค์ของการศึกษาที่สังคมต้องการ
3. คัดเลือกเนื้อหาวิชาความรู้ที่ครูจะนำมาสอน
เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการศึกษาที่ตั้งไว้
4. จัดลำดับขั้นตอนแก้ไขปรับปรุงเนื้อหาสาระที่เลือกมาได้
5.
คัดเลือกประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ
ซึ่งจะนำมาเสริมเนื้อหาสาระกระบวนการเรียนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์
6. จัดระเบียบ จัดลำดับขั้นตอน
และแก้ไขปรับปรุงประสบการณ์ต่าง ๆ ที่จะนำมาเสริมเนื้อหาสาระการเรียน
7. กำหนดเนื้อหาสาระอะไรบ้าง
หรือประสบการณ์อย่างใดที่ต้องการประเมินว่า
ได้มีการเรียนรู้ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่เพียงใด
นอกจากนี้ต้องกำหนดไว้ด้วยว่าจะมีข้อมูลอะไรบ้าง
ที่จะนำมาช่วยในการกำหนดเกณฑ์การประเมินผล และจะใช้วิธีการประเมินอย่างไร
กระบวนการพัฒนาหลักสูตร
การแสวงหารูปแบบในการพัฒนาหลักสูตรและการสอนเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น
เพราะ รูปแบบของการพัฒนาหลักสูตรนั้น
เปรียบเสมือนพิมพ์เขียวที่ส่งผลต่อการพัฒนาหลักสูตรได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
การนำรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรมาใช้จะต้องปรับให้เข้ากับสภาพความเป็นจริงของชีวิตและสังคมของผู้ใช้
แนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรมีหลายแนวทาง
สงัด
อุทรานันท์ (2532
: 36-43)
ได้กล่าวถึงกรบวนการพัฒนาหลักสูตร ซึ่งต่อเนื่องสัมพันธ์เป็น วัฏจักร ดังนี้
1. จัดวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเพื่อการพัฒนาหลักสูตร
2. การกำหนดจุดมุ่งหมาย
3. การคัดเลือกและจัดเนื้อหาสาระและประสบการณ์
4. การกำหนดมาตรการวัดและประเมินผล
5. การนำหลักสูตรไปใช้
6. การประเมินผลการใช้หลักสูตร
7. การปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร
วิชัย
วงษ์ใหญ่ (2533
: 19)
ได้เสนอกระบวนการพัฒนาหลักสูตรแบบครบวงจรไว้ 3
ระบบโดยเริ่มต้นจากระบบการร่างหลักสูตร ระบบการนำหลักสูตรไปใช้
และระบบการประเมินหลักสูตรซึ่งแต่ละระบบมีรายละเอียดและขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ระบบการร่างหลักสูตร
ประกอบด้วย การกำหนดหลักสูตร โดยดูดความสอดคล้องกับเนื้อหาวิชา สภาพสังคม เศรษฐกิจ
และการเมืองหลังจากนั้นกำหนดรูปแบบหลักสูตร ได้แก่ การกำหนดหลักการ โครงร้าง
องค์ประกอบหลักสูตร วัตถุประสงค์ เนื้อหา
ประสบการณ์การเรียนและการประเมินผลกหลังจากนั้นดำเนินการตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรโดยผ่านผู้เชี่ยวชาญ
หรือการสัมมนาและมีการทดลองนำร่อง
พร้อมทั้งรวบรวมผลการวิจัยและปรับแก้หลักสูตรก่อนนำไปใช้
2. ระบบการใช้หลักสูตร
ประกอบด้วยการขออนุมัติหลักสูตรจากหน่วยงานหรือกระทรวงดำเนินการวางแผนการใช้หลักสูตร
โดยเริ่มจากการประชาสัมพันธ์หลักสูตร การเตรียมความพร้อมของบุคลากร
จัดงบประมาณและวัสดุหลักสูตร บริหารสนับสนุนจัดเตรียมอาคารสถานที่
ระบบบริหารและจัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ และติดตามผลการใช้หลักสูตร
หลังจากนั้นเข้าสู่ระบบการบริหารหลักสูตร โดยการดำเนินการตามแผน
กิจกรรมการเรียนการสอนแผนการสอน คู่มือการสอน
คู่มือการเรียนเตรียมความพร้อมของผู้สอน
ความพร้อมของผู้เรียนและการประเมินผลการเรียน
3. ระบบการประเมินผล
ซึ่งประกอบด้วยการวางแผนการประเมินผลการใช้หลักสูตร ทั้งการประเมินย่อย
การประเมินระบบหลักสูตร ระบบการบริหารและผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
หลังจากนั้นเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และรายงานข้อมูลตามลำดับ
มณฑิชา ชนะสิทธิ์ (2539:17) ได้กล่าวถึงกระบวนการหรือขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรไว้ดังนี้
1.การสร้างหลักสูตร
1.1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน
1.2 การกำหนดจุดมุ่งหมาย
1.3 การกำหนดเนื้อหาสาระ
1.4 การกำหนดประสบการณ์การเรียนรู้
1.5 การกำหนดวิธีกาวัดผลและประเมินผล
2.การนำหลักสูตรไปใช้
3.การประเมินผลหลักสูตร
4.การปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร
เฉลา มิสดี (2540:17-19) กล่าวว่า
การพัฒนาหลักสูตรที่มีการพัฒนาแตกต่างกันเนื่องมาจากจุดเน้นที่ต่างกัน ได้แก่
1.การมุ้งเน้นการกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
ตั้งแต่การศึกษากระบวนการต่างๆเพื่อเป็นพื้นฐานของการสร้างหลักสูตรและการพัฒนารูปแบบหลักสูตร
2.การมุ่งเน้นกระบวนการสอน
เป็นการแบ่งหลักสูตรออกมาเป็นการกำหนดการสอน แผนการสอน คู่มือครู แบบเรียน วัสดุ
และสื่อการเรียนการสอนในรูปแบบต่างๆเป็นบทบาทนักพัฒนาหลักสูตรในระดับห้องเรียน
3.การมุ่งเน้นกระบวนการพัฒนาหลักสูตรและการสอนที่ต่อเนื่องกันไป
เป็นภาพรวมของการพัฒนาหลักสูตรที่สามารถเรียงลำดับแนวคิดของการพัฒนาหลักสูตรและการสอนได้เต็มรูปแบบ
ธำรง บัวศรี (2542:152) ได้กล่าวถึงกระบวนการพัฒนาหลักสูตรไว้ดังนี้
ขั้นที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน
ขั้นที่ 2 การกำหนดจุดหมายของหลักสูตร
ขั้นที่ 3 การกำหนดรูปแบบและโครงสร้างของหลักสูตร
ขั้นที่ 4 การกำหนดจุดประสงค์ของวิชา
ขั้นที่ 5 การเลือกเนื้อหา
ขั้นที่ 6 การกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้
ขั้นที่ 7 การกำหนดประสบการณ์การเรียนรู้
ขั้นที่ 8 การกำหนดยุทธศาสตร์การเรียนการสอน
ขั้นที่ 9 การประเมินผลการเรียนรู้
ขั้นที่ 10 การจัดทำวัสดุหลักสูตรและสื่อการเรียนการสอน
วิชัย
ประสิทธิ์วุฒิเวชช์ (2542 : 88) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรไว้
7 ขั้น คือ
1.
การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน
2.
การกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
3.
การกำหนดเนื้อหาสาระและประสบการณ์
4.
การนำหลักสูตรไปใช้
5.
การประเมินหลักสูตร
6.
การปรับปรุง แก้ไข และเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
7.
กระบวนการพัฒนาหลักสูตร
ทาบา (Taba. 1962 :
12)
ได้กล่าวถึงขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรไว้ 7 ขั้น คือ
1.การวินิจฉัยความต้องการและความจำเป็นของสังคม
2.การกำหนดจุดมุ่งหมาย
3.การเลือกเนื้อหาสาระ
4.การจัดเนื้อหาสาระ
5.การเลือกประสบการณ์การเรียนรู้
6.การจัดประสบการณ์เรียนรู้
7.การกำหนดวิธีการประเมินผล
เซเลอร์
และอเล็กซานเดอร์ (Saylor
and Alexander. 1974 : 27) ได้กล่าวถึงกระบวนการพัฒนาหลักสูตรไว้
ดังนี้
1. การศึกษาตัวแปรต่าง
ๆ จากภายนอก
2. การกำหนดจุดมุ่งหมาย
และวัตถุประสงค์
3. การออกแบบหลักสูตร
4. การนำหลักสูตรไปใช้
5. การประเมินผลหลักสูตร
เซเลอร์ อเล็กซานเดอร์
และเลวิส (Saylor
Alexander and Lewis. 1981 : 30)
ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตร ประกอบด้วย
1. การศึกษาตัวแปรต่าง ๆ
จากภายนอก ได้แก่ ภูมิหลังของนักเรียน สังคม ธรรมชาติของการเรียนรู้
แผนการศึกษาแห่งชาติ ทรัพยากร
และความสะดวกสบายในการพัฒนาหลักสูตรและคำแนะนำจากผู้ประกอบอาชีพ
2. การกำหนดความมุ่งหมายและวัตถุประสงค์
เพื่อการออกแบบหลักสูตร โดยนักวางแผนหลักสูตร
และใช้ข้อมูลทางการเมืองและสังคมเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ การออกแบบหลักสูตร
3. การนำหลักสูตรไปใช้
โดยครูเป็นพิจารณาความเหมาะสมของการสอน
การวางแผนหลักสูตร
รวมถึงการแนะนำแหล่งของสื่อการเรียนรู้โดยให้มีความยืดหยุ่นและมีอิสระแก่ครูและนักเรียน
4. การประเมินผลหลักสูตร
ทำโดยครูเป็นผู้พิจารณาขั้นตอนประเมินผล เพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าของนักเรียน
โดยวางแผนหลักสูตรร่วมกันพิจารณาขั้นตอน
การประเมินผลหลักสูตรซึ่งข้อมูลที่ได้จากการประเมินผลจะใช้เป็นพื้นฐานประกอบการตัดสินใจ
เพื่อวางแผนในอนาคตต่อไป
จากที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า
การจัดทำหรือพัฒนาหลักสูตรนั้นมีสิ่งที่ต้องปฏิบัติและพิจารณาที่สำคัญ คือ
1.การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน
2.การร่างหลักสูตร
2.1การกำหนดจุดมุ่งหมาย
2.2การกำหนดเนื้อหาสาระ
2.3การกำหนดประสบการณ์การเรียนรู้
2.4การกำหนดวิธีการวัดและประเมินผล
3.การตรวจสอบคุณภาพหลักสูตร
4.การทดลองใช้หลักสูตร
5.การประเมินหลักสูตร
6.การปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร
โมเดลสปาย
ทฤษฎีการพัฒนาสูตรของอำนาจ
จันทร์แป้น (2532
: 24) ที่ผสมผสาน
หรือบูรณาการองค์ประกอบที่สำคัญและสอดคล้องกัน
ที่จะนำไปปฏิบัติได้จริงในสภาพแวดล้อมและข้อจำกัดของโรงเรียนเพื่อให้จัดการศึกษาสอดคล้องกับปัญหา
และสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม และความเจริญก้าวหน้าของวิชาการ เทคโนโลยี
ตลอดจนสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและความต้องการของผู้เรียนโดยแสดงออกมาเป็น
โมเดลสปาย (SPIE
Model)
เพื่อให้มีความเข้าใจกระบวนการและขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรแบบ SPIE Model จึงได้นำเสนอสาระสำคัญของแต่ละขั้นตอน
ดังนี้
1.การวิเคราะห์สถานการณ์
การวิเคราะห์สถานการณ์ (Situation) หมายถึง การศึกษาวิเคราะห์สภาพในอดีต สภาพปัจจุบันและสภาพที่ควรเป็นอนาคต
โดยวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้
1.1
ปรัชญาการศึกษานโยบาย หลักสูตร
แผนการศึกษา งานวิจัย
1.2
สภาพปัญหา ค่านิยม วัฒนธรรมและความต้องการชุมชน
1.3
ธรรมชาติของเนื้อหาสาระ วิชาความรู้
ความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ
1.4
ความรู้เกี่ยวกับผู้เรียน
ในด้านความต้องการและความสนใจ
1.5
ทฤษฎีการเรียนรู้
ตลอดจนแนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
สงัด
อุทรานันท์ (2532
: 191)
ได้กล่าวถึงการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานสำหรับการพัฒนาหลักสูตรไว้
การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก
เพราะสภาพปัญหาและความต้องการที่ได้จากศึกษาและวิเคราะห์เป็นข้อมูลสำคัญที่หลักสูตรจะต้องการพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาและสนองความต้องการเหล่านั้น
โดยแหล่งข้อมูลสามารถ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพปัญหาชุมชน และข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการของผู้เรียน
ซึ่งสามารถรวบรวมข้อมูลได้ทั้งทางตรงโดยการใช้แบบสอบถาม
การสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง การสังเกต
สำหรับทางอ้อมทำได้โดยการศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร การรับฟังความคิดเห็นจากแหล่งต่าง
ๆ
กรมวิชาการ (2539 : 4)
ได้กล่าวถึงการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานไว้ว่า
การพัฒนาหลักสูตรที่มีเป้าหมายหรือมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้มองเห็นภาพของงาน
โดยจำเป็นจะต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานซึ่งเป็นการวางแผนอย่างมียุทธศาสตร์
เพราะเป็นกระบวนการทำงานที่มีการวิเคราะห์ตลอดแนว เป็นกระบวนการคิดที่รอบคอบ
หาทางเลือกที่หลากหลายแนวทางที่มีประโยชน์สูงสุดสถานศึกษาจำเป็นต้องใช้ข้อมูลเกี่ยวข้องกับทุกฝ่าย
การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็น หรือ
การวางแผนอย่างมียุทธศาสตร์ประกอบด้วยกิจกรรมสำคัญ ๆ ดังนี้
1.
การศึกษาแนวโน้มของการพัฒนา เป็นการศึกษาสภาพสังคมที่สถานศึกษาท้องถิ่นว่ามีแนวโน้มของการพัฒนาไปในทิศทางใด
2.
การศึกษาความต้องการของท้องถิ่น เป็นการศึกษาหรือสำรวจความต้องการของท้องถิ่นว่ามีวามต้องการจะให้ท้องถิ่นของตนเป็นอย่างไรในอนาคต
วิธีการได้มาของข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการของท้องถิ่นอาจใช้วิธีการทางตรง คือ
การออกไปสอบถามจากบุคคลในท้องถิ่น
หรือวิธีการทางอ้อมโดยการรวบรวมข้อมูลที่เป็นความต้องการของท้องถิ่นจากการที่หน่วยงานหรือบุคคลอื่นทำไว้ผลจากการสำรวจนำมาใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาดำเนินการพัฒนา
3.
การศึกษาสิ่งที่มีผลต่อการจัดการศึกษา
สิ่งที่มีบทบาทหรือมีผลกระทบต่อการจัดการศึกษาทำให้สถานศึกษาต้องจัดการศึกษาให้สอดคล้องตามที่มีระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
นอกจากนี้วัฒนธรรมประเพณี รวมทั้งสภาพแวดล้อมทางกายภาพของท้องถิ่น
ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนให้สนองหรือสอดคล้องกับท้องถิ่น
4.
การศึกษาศักยภาพของสถานศึกษา เป็นการศึกษาสภาพทั่วไปของสถานศึกษาว่ามีความพร้อมในเรื่องใด
มากน้อยเพียงไร
รวมทั้งศึกษาว่าในการดำเนินงานทั้งด้านบริหารและวิชาการที่ผ่านมาประสบผลสำเร็จ
5.
สร้างภาพของงานตลอดแนว ขั้นตอนนี้เป็นการนำเอาข้อมูลซึ่งเป็นผลจากกิจกรรมทั้ง
4 ขั้นตอน
2.การวางแผนหลักสูตรหรือแผนประสบการณ์
(Planning)
ในการวางแผนหลักสูตร หรือ
แผนประสบการณ์มีขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้
2.1 กำหนดหลักสูตรสาขา
หมวดวิชา
2.2 กำหนดหลักสูตรรายวิชา
2.2.1 กำหนดลักษณะวิชา
2.2.2 พิจารณาความสมดุลระหว่างทฤษฏีกับปฏิบัติ
2.2.3 คัดเลือกและรวบรวมและผลิตสื่อประเภท
2.3
กำหนดหลักสูตรเฉพาะกลุ่มบุคคล เช่น หลักสูตรสำหรับชนกลุ่มน้อย
หรือหลักสูตรสำหรับเด็กเรียนช้า เป็นต้น
2.4 กำหนดแผนการสอน
2.4.1 กำหนดวัตถุประสงค์ รูปแบบของจุดประสงค์สามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ (อำนาจ จันทร์แป้น. 2532 : 52)
2.4.1.1 จุดประสงค์จะอยู่ในรูปแบบหรือลักษณะของสิ่งที่ผู้สอนกระทำ เช่น
การเสนอทฤษฏีวัฒนาการ การสาธิต การพิสูจน์ เป็นต้น
ลักษณะเหล่านี้จะแสดงให้เห็นสิ่งที่ผู้สอนวางแผนที่กระทำ แต่จุดประสงค์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเป้าหมายของการศึกษาที่แท้จริง
เพราะ จุดประสงค์ของการที่แท้จริงไม่ใช่ต้องการให้ผู้สอนกระทำอย่างหนึ่ง
แต่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดพฤติกรรมของผู้เรียน
2.4.1.2 จุดประสงค์อยู่ในลักษณะของรายการหัวข้อเนื้อหาวิชา
จุดประสงค์ในลักษณะนี้ถึงแม้จะชี้ให้เห็นว่านักเรียนจะต้องเรียนอะไรบ้าง
แต่ไม่ใช่จุดประสงค์ที่พึงประสงค์
เพราะไม่ได้ชี้เฉพาะว่านักเรียนจะต้องทำอย่างไรบ้างเนื้อหาสาระเหล่านี้
2.4.1.3 จุดประสงค์จะอยู่ในรูปแบบพฤติกรรมทั่ว ๆ ไป ซึ่งไม่ได้ชี้เฉพาะให้ชัดเจน
เช่น ความคิดเชิงวิจารณ์ การพัฒนาความลึกซึ้ง การพัฒนาเจตคติต่อสังคม เป็นต้น
การกำหนดจุดประสงค์ในลักษณะนี้
แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหวังทางการศึกษาว่าคาดหวังที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ตัวผู้เรียน
และแสดงให้เห็นถึงประเภทของการเปลี่ยนแปลงโดย ทั่ว ๆ ไป
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องชี้เฉพาะว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะกระทำกับเนื้อหาใด
หรือพฤติกรรมดังกล่าวจะใช้ในด้านใดของชีวิตไม่เป็นการเพียงพอที่จะพูดอย่างผิวเผินว่าเพื่อพัฒนาความคิดวิเคราะห์โดยไม่อ้างถึงเนื้อหาและประเภทของปัญหาที่จะต้องใช้ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์เลย
วิชัย ประสิทธิ์เวชช์ (2542 : 99) กล่าวถึงการจัดเนื้อหาสาระไว้ว่า
การจัดเนื้อหาสาระมีหลายวิธี แต่ละวิธีควรเหมาะสมกับธรรมชาติของวิชาที่แตกต่างกัน
จึงต้องใช้ การจัดหลายวิธีการผสมผสานกันตามธรรมชาติของวิชา ซึ่งสามารถสรุปได้ 3
ประการ คือ
1.จัดลำดับเนื้อหาสาระโดยยึดหลักการทางตรรกะและจิตวิทยา
1.1เนื้อหาสาระที่จากง่ายไปหายาก (The simple-to-complex approach)
1.2ความจำเป็นที่ต้องเรียนก่อนหลัง (The pre-requisite learning
approach)
1.3ลำดับกาลเวลาหรือเหตุการณ์ (The chronological approach)
1.4 ตามหัวข้อหรือเป็นเรื่องอิสระ (The thematic approach)
1.5 ลำดับจากส่วนย่อยไปสู่ส่วนร่วม (The part-to-whole approach)
1.6 ลำดับจากส่วนย่อยไปสู่ส่วนย่อย (The whole-to-part approach)
2. จัดเนื้อหาสาระให้มีความต่อเนื่อง
(Continuity) เพื่อให้เอื้อเฟื้อต่อการสะสมความรู้ให้เกิดความมั่นคงและเพียงพอสำหรับการเรียนรู้ต่อไป
3.
จัดเนื้อหาสาระให้ความสัมพันธ์กัน เพื่อให้เกิดการบูรณาการและการถ่ายโยงความรู้เป็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชา
4. จัดเตรียมรายละเอียดของการจัดเนื้อหาสาระในแต่ละรูปแบบ
5. ระบุแนวทางในการนำเอาหลักสูตรนั้น
ๆ ไปสู่การปฏิบัติ
6.
กำหนดวิธีการเรียนการสอนและแหล่งวิชาการ
7.
กำหนดวิธีการวัดและประเมินผล
เซย์เลอร์และอเล็กซานเลอร์ (Saylor and
Alexander อ้างในสงัด อุทรานันท์. 2532 : 214)
กล่าวถึงกระบวนการจัดเนื้อหาสาระและมวลประสบการณ์
โดยใช้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับขั้นตอนในการปฏิบัติไว้ดังนี้
1. พิจารณาตัวประกอบที่สำคัญ
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับจุดมุ่งหมายหลักของหลักสูตรที่จัดทำ
2. ระบุจุดมุ่งหมายย่อย
ภายใต้จุดมุ่งหมายใหญ่แต่ละข้อ
3.
ระบุชนิดของประสบการณ์ที่มีความเหมาะสม
ซึ่งจะสามารถทำให้บรรลุจุดมุ่งหมายหลักและจุดมุ่งหมายย่อย
4.ในแต่ละจุดมุ่งหมายหลักนั้น ควรเลือกรูปแบบเดียวหรือมากกว่าก็ได้
ในการจัดเนื้อหาสาระในหลักสูตรอาจทำได้ในรูปแบบต่อไปนี้
4.1 การยึดเอาสาขาวิชาหรือรายวิชาเป็นหลัก
4.2 การยึดเอาความต้องการและความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก
4.3 การยึดเอากิจกรรมและปัญหาของสังคมเป็นหลัก
4.4 การยึดเอาทักษะกระบวนการเป็นหลัก
4.5 การยึดเอาสมรรถภาพเป็นหลัก
3.การใช้หลักสูตรหรือการปฏิบัติ
(implementation)
ในการใช้หลักสูตร
หรือ การนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัตินั้น จำเป็นต้องเตรียมการพัฒนาบุคลากร เอกสาร
และสื่อประเภทต่าง ๆ
สร้างความเข้าใจแก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องในแนวทางที่กำหนดขึ้นมาใหม่
ฝึกอบรมให้เกิดทักษะในการใช้หลักสูตร หรือวิธีการใหม่ ๆ
สร้างหรือเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้เรียน เตรียมการนิเทศภายใน
และปฏิบัติตามแผนที่กำหนด
ในการนำหลักสูตรไปใช้นั้น
วิชัย ประสิทธิ์วุฒิเวชช์ (2542
: 104) กล่าวถึงกระบวนการนำหลักสูตรไปใช้
มีขั้นตอนไปสู่การปฏิบัติเป็นลำดับดังนี้
1.การขออนุมัติหลักสูตร
2.การวางแผนการใช้หลักสูตร
อาจดำเนินการระหว่างรอการอนุมัติ เช่น การประชาสัมพันธ์ หลักสูตร เตรียมงบประมาณ
เตรียมความพร้อมบุคลากร เป็นต้น
3.การบริหารหลักสูตรให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมาย
4.การนำหลักสูตรไปใช้
จากรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้หลักสูตรข้างต้น
สามารถได้สรุปการใช้หลักสูตรเป็น 2 ขั้นตอนใหญ่ ๆ
คือการวางแผนการใช้หลักสูตรและการดำเนินการสอนตามหลักสูตร
สำหรับการวางแผนการใช้หลักสูตรนั้นประกอบด้วย การประสารงานและการเตรียมบุคลากร
การจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เอกสารประกอบการเรียนการสอน
การประชาสัมพันธ์หลักสูตร หลังจากนั้นดำเนินการสอนตามหลักสูตร
4.การประเมินผล
สำหรับ
สงัด อุทรานันท์ (2532
: 279) กล่าวไว้ว่า
การประเมินหลักสูตรประกอบด้วยการประเมินสิ่งต่อไปนี้ คือ
1.
การประเมินเอกสารหลักสูตร เป็นการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรว่า
มีความเหมาะสมดีและถูกต้องกับหลักการพัฒนาหลักสูตรเพียงใด
หากมีข้อบกพร่องก็ปรับปรุงแก้ไขก่อนนำไปใช้
2.
การประเมินการใช้หลักสูตร
เป็นการตรวจสอบว่าหลักสูตรนั้นสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้ได้ดีเพียงใด
ส่วนใดที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้หลักสูตร หากพบข้อบกพร่องในระหว่างการใช้หลักสูตร
มักจะได้รับการแก้ไขทันที เพื่อให้การใช้หลักสูตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
3.
การประเมินประสิทธิผลของหลักสูตร
โดยทั่วไปจะดำเนินการหลังจากที่มีผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรนั้น ๆ
การประเมินในลักษณะนี้มักจะทำการติดตามความก้าวหน้าของผู้สำเร็จการศึกษาว่าสามารถประสบความสำเร็จในการทำงานเพียงใด
4. การประเมินระบบหลักสูตร เป็นการประเมินในลักษณะที่มีความสมบูรณ์และซับซ้อนมาก
คือ การประเมินที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบอื่นของหลักสูตร เช่น ทรัพยากรที่ต้องใช้
ความสัมพันธ์ของระบบหลักสูตรกับการบริหารโรงเรียน ระบบการจัดการเรียนการสอน
ระบบการวัดและประเมินผล เป็นต้น
นอกจากนี้
วิชัย ดิสสระ (2535
: 116)
กล่าวถึงกาประเมินหลักสูตรไว้ว่า
การคำนึงถึงช่วงเวลาในการประเมินผลหลักสูตร ทำให้ได้ลักษณะของการประเมินผล 3
ลักษณะ คือ
1.
การประเมินผลก่อนการดำเนินงาน (project analysis) หมายถึง
การประเมินหลักสูตรในช่วงที่หลักสูตรยังไม่นำไปใช้ในโรงเรียน
เป็นการประเมินหลังจากได้วางแผนการพัฒนาหลักสูตรแล้วโดยอาศัยความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนาหลักสูตร
ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาวิชา
2.
การประเมินขณะดำเนินการ (formative evaluation) หมายถึง
การประเมินผลหลักสูตรในช่วงที่ได้จากการวางแผนพัฒนาไปใช้ในโรงเรียนต้องยึดหลักการและเหตุผลในขั้นวางแผนเป็นหลักแล้วพิจารณาดูว่าหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนที่ปฏิบัติอยู่นั้นเป็นอย่างไรเป้าหมายของการประเมินผลขณะดำเนินการนี้มุ่งที่จะช่วยให้นักพัฒนาหลักสูตรสามารถพิจารณาวิเคราะห์และปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอน
ที่นำไปใช้ให้สมเหตุสมผลกับหลักการและเหตุผลในขณะวางแผนหลักสูตรเป็นสำคัญ
3.
การประเมินหลังดำเนินการ (summative evaluation) หมายถึง
การประเมินผลหลักสูตรในช่วงที่หลักสูตรได้นำไปใช้แล้วหรือประเมินผลจบของโครงการหลักสูตรนั้น
ๆ การประเมินผลหลักสูตรช่วงจบนี้ต้องวิเคราะห์หาผลที่เกิดขึ้นจากการเรียนการสอน
การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการวางแผนพัฒนาหลักสูตร กระบวนนำหลักสูตรไปใช้
กระบวนการเรียนการสอนในโรงเรียนและผลที่เกิดขึ้นจากการเรียนการสอน
อาจใช้แบบสอบถามชนิดต่าง ๆ เป็นเครื่องมือการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลการเรียนของนักเรียน
ความคิดเห็นของนักเรียน ครู ปกครอง
ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตรทั้งทางตรงและทางอ้อม
สรุป
การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง
การปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
หลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นหรือสร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่
ให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและสนองต่อความต้องการของผู้เรียน
การพัฒนาหลักสูตรระดับชาติ เป็นการพัฒนาหลักสูตรในลักษณะกว้าง ๆ
โดยยึดถือแผนการศึกษาของชาติ เพื่อให้ผู้ใช้ในระดับต่าง ๆ นำไปขยายหรือปรับเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตร
สำหรับการพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่น หมายถึง ระดับเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา
จะเป็นการนำหลักสูตรระดับชาติมาปรับเปลี่ยนเนื้อหาสาระให้มีความสอดคล้องกับท้องถิ่น
ส่วนการพัฒนาหลักสูตรระดับชั้นเรียนเป็นการพัฒนาหลักสูตรโดยสถานศึกษา
กลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ เป็นการขยายและปรับให้มีความสอดคล้องในการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
โดยการพัฒนาระดับหลักสูตรชั้นเรียน เป็นการพัฒนาที่เน้นความต้องการและความถนัด
ความสนใจของผู้เรียน ซึ่งเป็นการปรับจุดประสงค์ เนื้อหาวิชา
และกิจกรรมการเรียนการสอนโดยครูผู้เรียน
จากแนวคิดของนักศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาสูตรพบว่า เป็นกระบวนการทำงานที่เป็นระบบเป็นวงจรเชื่อมโยงกันในมิติต่าง
ๆ นักพัฒนาหลักสูตรดำเนินการให้มิติต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
การจัดทำหรือพัฒนาหลักสูตรนั้น
มีสิ่งที่ต้องปฏิบัติและพิจารณาที่สำคัญ คือ การกำหนดเป้าหมายเบื้องต้อนของหลักสูตรที่จัดทำนั้นให้ชัดเจนว่าเป้าหมายเพื่ออะไร
ทั้งโดยส่วนรวมและส่วนย่อยของหลักสูตร หลังจากนั้นจึงเลือกเนื้อหากิจกรรมการเรียนการสอน
วิธีการประเมินผล และกำหนด รูปแบบการนำหลักสูตรไปใช้ในโรงเรียน
ซึ่งการดำเนินการจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
จึงจะทำให้การพัฒนาหลักสูตรดำเนินไปอย่างครบถ้วนและเกิดผลดี นั่น คือ
ได้กลักสูตรที่มีประสิทธิภาพ
สำหรับกระบวนการพัฒนาหลักสูตรแบบ
SPIE
Model เป็นการผสมผสาน บูรณาการองค์ประกอบที่สำคัญและสอดคล้องกัน
เมื่อนำไปปฏิบัติจริงในสภาพแวดล้อมและข้อจำกัดของโรงเรียนโดยพัฒนาหลักสูตรระดับสถานศึกษานั้น
จะทำให้การจัดการศึกษาสอดคล้องกับปัญหาและความเปลี่ยนแปลงสังคม
ความเจริญก้าวหน้าวิชาการและเทคโนโลยี
ตลอดจนสอดคล้องความต้องการของชุมชนและความต้องการของผู้เรียนด้วย